http://library.sk.ac.th >>    Saturday, 18 May 2024
หน้าแรก arrow ข่าวสาร

มีอะไรในห้องสมุด
ข้อมูลห้องสมุด
นโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ
ประวัติห้องสมุด
สถานที่
บริการทั่วไป
กิจกรรม
สาระน่ารู้
วันสำคัญ
สมานมิตร
รางวัลซีไรต์
นักเขียนซีไรต์
สิ่งพิมพ์ออนไลน์
e-newspaper
e-journal
e-book
กฤคภาคข่าว
ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย (TIAC)
ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์(Thailis)
ทำเนีบยนิตยสารประเทศไทย
ข่าวสาร
ประท้วงแอดมิสชั่นส์ PDF พิมพ์ ส่งเมล
 
          ผู้สื่อข่าวว่าเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่บริเวณด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พ.ญ.กมลพรรณ ชีวพันธุ์ศรี ประธานเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา พร้อมกับตัวแทนเครือข่ายฯ ประมาณกว่า 10 คน แต่งกายชุดสีดำพร้อมกับถือป้ายประท้วงผลที่เกิดจากการจัดการศึกษาไทย อาทิ แอดมิสชั่นส์ ที่จะให้เพิ่มการจัดสอบกลุ่มสาระการเรียนรู้จาก 5 กลุ่ม เป็น 8 กลุ่ม การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ทางเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษาได้นำพวงหรีดมีข้อความว่า  แด่วงการศึกษาไทย  มาประท้วงด้วย ซึ่ง พ.ญ.กมลพรรณ กล่าวว่า จะประท้วงให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นถึงการบริหารงานการศึกษาที่ไม่ได้ผ่านการประชาพิจารณ์อย่างแท้จริง ในกรณีการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ แต่ได้ทำเหมือนเร่งรีบทำ ดังนั้น หลังจากนี้จะไปยื่นคัดค้านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และไปที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย


แหล่งที่มา : "ประท้วงแอดมิสชั่น"  ส์หนังสือพิมพ์ บ้านเมือง  วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2549

ส่งคนไปจัดการดาวเคราะห์น้อย ดันให้เหไปไม่เข้า มาชนกับโลก PDF พิมพ์ ส่งเมล
 
    องค์การอวกาศสหรัฐฯ กำลังเตรียมการจะส่งมนุษย์อวกาศ ไปหย่อนลงบนดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง ที่กำลังทะยานไปในอวกาศด้วยอัตราความเร็วสูงถึง 480,000 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ กาเดียน” อันมีชื่อเสียงของอังกฤษเผยว่า องค์การมีจุดประสงค์ เพื่อต้องการหาความรู้ว่า มนุษย์จะมีวิธีใดบ้าง ที่จะหันเหดาวเคราะห์น้อยดวงใดดวงหนึ่ง ที่เกิดจะพุ่งเข้ามาชนโลก ให้เหห่างออกไปเสีย เหมือนกับในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง “อามาเกดอน” พระเอกบรูซ วิลลิส พยายามที่จะเหดาวเคราะห์น้อย ให้พ้นวิถีที่จะเข้ามาชนโลกเข้า

   ข่าวกล่าวว่า แผน การนั้นยังอยู่ในขั้นต้นๆ และยานอวกาศจะใช้ส่งมนุษย์อวกาศ เดินทางรอนแรมในอวกาศไกลถึงขนาดนั้น ก็ยังอยู่บนโต๊ะเขียนแบบอยู่ หากแต่เรื่องก็มีมูล เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า มีดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กชื่อ “อโปฟิส” มีท่าว่าอาจจะมาโดนโลกเข้า ในปี พ.ศ.2569 นี้ได้

โฆษกขององค์ การ นายคริส แมคเคย์ กล่าวว่า ประชาชนต้องการให้เราเตรียมการรับมือกับดาวเคราะห์ น้อยเอาไว้ “ดังนั้นถ้าเราส่งมนุษย์อวกาศไปที่นั่นได้ และลองเอาไม้เขี่ยๆดู ก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่าทางวิทยาศาสตร์ และยังแสดงถึงขนาดความรู้ความสามารถของมนุษย์ด้วย

นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า หากมีดาว เคราะห์น้อยโตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ยาว 1 กิโลเมตร และมีน้ำหนัก 1 พันล้านตัน มาชนโลกเฉี่ยวๆ เป็นมุมขนาด 45 องศา อาจทำให้เกิดการระเบิดขึ้นอย่างมหาประลัย เทียบเท่ากับการระเบิดของลูกระเบิดเธอร์โมนิวเคลียร์ขนาด 50,000 เมกะตัน


แหล่งที่มา หนังสือพิมพิ์ ไทยรัฐ  ปีที่ 57 ฉบับที่ 17842 วันจันทร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2549

100 ล้านคนทั่วโลกโหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ [8 ก.ค. 50] PDF พิมพ์ ส่งเมล
   สิ่งมหัศจจรย์ของโลก แต่เดิมแบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ สมัยโบราณ สมัยกลาง และสมัยปัจจุบัน การแบ่งยุคมีดังนี้


สมัยโบราณ ตั้งแต่ 5000 ปี ก่อนคริสต์กาล ศตวรรษที่ 500 ได้แก่

1. พีระมิดแห่งเมืองกิซา
2. มหาวิหารอาร์เทมิส
3. สุสานกษัตริย์โมโซรุส
4. สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
5. เทวรูปเทพเจ้าซีอุส
6. เทวรูปเทพเจ้าเฮลิออส
7. หอประภาคารโรส


สมัยกลาง ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 5 - ศตวรรษที่ 16 ได้แก่


1. หอเอนเมืองปิซา
2. สนามกีฬากรุงโรม
3. สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย
4. สุเหร่าเซ็นโซเฟีย
5. กำแหงเมืองจีน
6.เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง
7. กองหินประหลาดสโตนเฮนนจ์


สมัยปัจจุบัน สร้างขึ้นระหว่าง ศตวรรษที่ 17 -ศตวรรษที่ 20 ได่แก่


1. ปราสาทหินนครวัด
2.ทัชมาฮาล
3.พระราชวังแวร์ซายส์
4. เรือควีนแมรี่
5. สะพานโกลเด้นเกต
6.ตึกเอ็มไพร์สเตต
7.เขื่อนยักษ์ฮูเวอร์

   ในเว็บไซต์มูลนิธิที่มีชื่อว่า “สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ 7 อย่าง” อันเป็นมูลนิธิไม่แสวงหากำไร ที่ก่อตั้งโดย นายเบอร์นาร์ด เวเบอร์ ผู้สร้าง ภาพยนตร์ชาวสวิส ได้ประกาศรายชื่อบรรดาสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ทั่วโลก  (7 ก.ค.) หลังจากที่ริเริ่ม รณรงค์ให้ประชาชน ทั่วโลก เลือกสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลกเมื่อปี 2542 และเปิดให้มีการลงคะแนนทางเว็บไซต์ http://www.new7wonders.com/ รวมทั้งการส่งข้อความทางโทรศัพท์เคลื่อนที่


    
 Chichén Itzá, Mexico Christ Redeemer, Brazil The Great Wall, China 
    
Machu Picchu, PeruPetra, Jordan  The Roman Colosseum,
Italy
 
    
  The Taj Mahal, India   

         ผลการลงคะแนนจากประชาชนทั่วโลกกว่า 100 ล้านคน ได้เลือก 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ได้แก่

1.ชิเชน อิตซา อัสเทค ไซต์ แห่งยูคาตาน ประเทศเม็กซิโก
2.ไครสต์ เดอะ รีดีมเมอร์ ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล หรือ รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ในบราซิล
3.กำแพงเมืองจีน
4.มาจู พิคจู ประเทศเปรู
5.เมืองโบราณเปตรา จอร์แดน
6.โคลอสเซียม กรุงโรม และ
7.ทัชมาฮาล แห่งอินเดีย
     สำหรับวัตถุประสงค์ของการคัดเลือก สิ่งมหัศจรรย์ 7 อย่าง ครั้งนี้ เพื่อให้ชาวโลกตระหนักถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์สถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ทั้ง 7 มีทั้งอยู่นอกยุโรป และตะวันออกกลาง ขณะที่ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกดั่งเดิมที่เกิดขึ้นกว่า 2 พันปีที่ผ่านมา ล้วนตั้งอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และมีเพียงพีระมิดแห่งกิซา อียิปต์ เท่านั้นที่ยังได้รับการจัดอันดับว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

แหล่งที่มา

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 58 ฉบับที่ 18067 วันอังคาร ที่ 10 กรกฎาคม 2550


ปรับระบบ "แอดมิชชั่น" PDF พิมพ์ ส่งเมล
ปรับระบบ “แอดมิชชั่น” ใหม่เริ่มปี 2552 [20 พ.ย. 49 - 05:05]
ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ ศ.ดร. อุทุมพร จามรมาน ประธานคณะทำงานศึกษาระบบแอดมิชชั่น ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ประธาน ทปอ. ว่า การเปลี่ยนแปลงระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่น จะเริ่มในปี 2552 โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของ 1. แบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ซึ่งเดิมมีการจัดสอบใน 5 กลุ่มสาระวิชา ทั้งที่ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานมี 8 กลุ่มสาระวิชา จึงเห็นว่า โอเน็ต ควรทดสอบให้ครอบคลุม 8 กลุ่มสาระ โดยเพิ่มกลุ่มสาระวิชาศิลปะ การงานอาชีพและสุขศึกษาและพลศึกษา และตนได้มอบให้ สทศ.นำผลการประเมินด้านคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนให้เป็นค่าน้ำหนักในการคิดผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (จีพีเอเอ็กซ์) ด้วย ส่วนการบูรณาการการสอบโอเน็ตเข้ากับการสอบวัดผลประเมินรายปีของ สพฐ.นั้น ตนจะหารือกับ สพฐ.ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีการรวมข้อสอบเป็นชุดเดียวกันหรือแยกเป็น 2 ชุด และจะให้นำผลสอบโอเน็ตไปรวมไว้ในจีพีเอเอ็กซ์ และระบุไว้ในใบทรานสคริปเพื่อนำมาใช้ในการคัดเลือก เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในคะแนนจีพีเอเอ็กซ์

 ศ.ดร.วิจิตรกล่าวต่อว่า ส่วนที่ 2. การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูงหรือเอเน็ต ซึ่งจะเรียกการทดสอบเอเน็ตในนิยามใหม่ เนื่องจากเมื่อเรียกว่าการทดสอบขั้นสูง บางคนเข้าใจว่าเป็นการสอบขั้นสูงที่เกินกว่าหลักสูตร ม.ปลาย แต่ความจริงข้อสอบคัดเลือกที่ดีต้องมีอำนาจในการจำแนกที่สอบแล้วบอกได้ว่าใครเก่งกว่าใคร จึงต้องออกข้อสอบในลักษณะที่เน้นเรื่องการวิเคราะห์ สังเคราะห์ การแก้ปัญหา จึงยากกว่าข้อสอบที่เน้นความรู้ ความจำ ดังนั้น การเรียกว่าการสอบเอเน็ต ก็ไปตรงกับความเข้าใจผิดของบางคน ซึ่งต้องคิดคำเรียกใหม่ พร้อมทั้งจะให้แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดว่าจะต้องทดสอบวิชาใดเพิ่มเติมบ้าง 

แหล่งที่มา "ไทยรัฐ"   ปีที่ 57 ฉบับที่ 17837 วันพุธ ที่ 22 พฤศจิกายน 2549
สายพันธ์อารยันกับนาซี PDF พิมพ์ ส่งเมล
 วีรกร ตรีเศศ  "อาหารสมอง : สายพันธ์อารยันกับนาซี "   มติชนสุดสัปดาห์  
  (วันที่ 17 พฤศจิกายน 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 1370 หน้า 20)
 

        สงครามสร้างความชั่วร้าย ทำลายความดีความงามและความเจริญ เรื่องเล่าในวันนี้สนับสนุนข้อความข้างต้น โดยย้อนหลังไป 60 กว่าปี ในประเทศเยอรมนี ภายใต้อำนาจเด็ดขาดของระบอบนาซีที่สถาปนาขึ้นมาโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

      คนเยอรมันหลายคนในวัย 60 กว่าปีเพิ่งทราบเมื่อไม่นานมานี้ว่าพ่อที่แท้จริงของตนนั้นมิได้ตายเพราะสู้รบอย่างกล้าหาญในสงครามดังที่แม่เล่าให้ฟัง หากเป็นทหารในหน่วยที่มีชื่อว่า Waffen SS ซึ่งเป็นทหารพิเศษของฮิตเลอร์ที่คัดสรรมาว่าเป็นสายเลือดอารยัน คนเยอรมันเหล่านี้เป็นเด็กจากโครงการ Lebensborn ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการขยายเชื้อชาติอารยันตามที่ฮิตเลอร์และกลุ่มนาซีเชื่อว่าเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ของคนเยอรมันที่เหนือกว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ในโลก 
      Lebensborn หรือ Spring of Life (น้ำพุแห่งชีวิต) หมายถึงโครงการที่สร้างคลีนิคขึ้นทั่วเยอรมนีและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โปแลนด์ นอร์เวย์ ฯลฯ เพื่อให้หญิงมีครรภ์ (ส่วนใหญ่ยังเป็นโสด) ไปคลอดลูกอย่างเป็นความลับ แม่จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีโดยแพทย์และพยาบาลที่จ้างมาโดยหน่วยทหาร SS

      หญิงมีครรภ์ที่จะได้รับบริการจากคลีนิคจะต้องมีลักษณะทางชาติพันธุ์ที่เหมาะสม (ผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า) นอกจากนี้ ยังต้องจงรักภักดีต่อระบอบนาซี และต้องพิสูจน์ว่าไม่มีความบกพร่องทางพันธุกรรมอีกด้วย

      หญิงมีครรภ์หลายคนโดยแท้จริงแล้วเป็นภรรยาของนายทหาร SS เพื่อมารับบริการ และอีกหลายคนเมื่อคลอดแล้วก็มีสัมพันธ์กับนายทหาร SS จนท้อง (Heinrich Himmler หัวหน้า SS สนับสนุนให้ลูกน้องมีลูกกับหญิงนอกสมรสมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อขยายชาติพันธุ์ที่ดีของเยอรมัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นสุดยอดของมนุษย์ชาติ)

      เด็กประมาณ 6,000-8,000 คน เกิดในคลีนิคเหล่านี้ในเยอรมนีระหว่าง 1936-1945 และเนื่องจากโครงการนี้เป็นเรื่องลี้ลับ บ่อยครั้งไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแน่นอน เด็กเหล่านี้จึงไม่รู้ความจริงและไม่มีการบันทึกรายละเอียดของการเกิดลงในสูติบัตรด้วย

     ใน 20 ปีที่ผ่านมา ความลี้ลับถูกเปิดเผยมากขึ้น และพบผลพวงของความเลวร้ายยิ่งขึ้น ฮิตเลอร์เป็นผู้ก่อสงครามขึ้นโดยมุ่งหวังที่จะให้เยอรมนีครอบงำโลก โดยตั้งใจใช้โครงการ Lebensborn เป็นเครื่องมือขยายเผ่าพันธุ์อารยัน

     นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองพบว่าหญิงที่ท้องขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ไม่สามารถทำแท้งได้เพราะผิดกฎหมาย บ้างก็ยกลูกให้ทหาร SS เป็นลูกบุญธรรม บ้างก็เลี้ยงลูกเองหลังสงครามด้วยความทนทุกข์ทรมานใจเพราะต้องหลอกลวงลูก ต้องลวงผู้คนเพราะหากรู้ว่าเป็นลูกทหาร SS ก็จะถูกเกลียดชัง

      สำหรับเด็กที่เกิดในคลีนิค Lebensborn ในประเทศที่เยอรมนียึดครองอันเนื่องมาจากความสัมพันธ์กับทหาร SS ยิ่งประสบความลำบากมากยิ่งขึ้นเพราะรัฐบาลเยอรมนีถือว่าเป็นลูกศัตรู เมื่อเติบโตหลังสงครามก็กลายเป็นพลเมืองของชาตินั้นไปโดยทั้งแม่และลูกถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนาซี

    เชื้อสายอารยันมีความสำคัญเพียงใดจนต้องมีการตั้งโครงการ Lebensborn ขึ้น? "เชื้อสายอารยัน" เป็นคอนเซ็ปต์ในวัฒนธรรมยุโรปที่ "มาแรง" ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 (1890 กว่าๆ และ 1910 กว่าๆ) บ้างเชื่อว่าเชื้อพันธุ์นี้มีกำเนิดจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียปัจจุบัน บ้างเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของคนเยอรมันและสแกนดิเนเวียแต่โบราณ และท้องถิ่นเหล่านี้เท่านั้นที่ยังคงสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของเชื้อพันธุ์ไว้ได้

     ในโลกตะวันตกในยุคต้นศตวรรษที่ 19 บ้างเชื่อว่าชาติพันธุ์อารยันเหนือกว่าทุกชาติพันธุ์ ฉลาดกว่า และเก่งกว่า อย่างสมควรที่จะเก็บไว้เป็นต้นแบบของมนุษยชาติเพื่อเผยแพร่พันธุ์ต่อไป

      อย่างไรก็ดี มีนักประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือได้ระบุว่ามีการกล่าวถึงชาติพันธุ์อารยันในจารึก Persians (เปอร์เซียคือชื่อโบราณของอิหร่าน) ตั้งแต่ก่อนคริสตกาล 500 ปี คำว่า "Aryan" ในตอนแรกโยงใยกับวัฒนธรรม Indo-Iranian (อินเดีย-อิหร่าน) และต่อมาในศตวรรษที่ 19 กลายมาผูกพันกับวัฒนธรรม Indo-European (อินเดีย-ยุโรป)

      นักประวัติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าไอเดียเรื่องชาติพันธุ์อารยันเกิดขึ้นเมื่อนักภาษาศาสตร์ค้นพบว่า Avestan ซึ่งเป็นภาษาโบราณของเปอร์เซียและภาษาสันสกฤตของอินเดียตอนเหนือ เป็นสองภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จึงตั้งชื่อกลุ่มคนโบราณที่ประดิษฐ์ภาษาเหล่านี้ขึ้นว่า Aryans ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตและ Avestan ว่า "Arya" ซึ่งหมายถึงมนุษย์ที่มีความสูงส่ง มีอิสระ มีฝืมือ

    Arya ก็คือ "อารยะ" ในภาษาไทยซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกัน สองคำคือ "อารยะ" และ "อารยัน" จึงโยงใยกันอย่างใกล้ชิด ("อารยะขัดขืน" ฟังดูยิ่งน่ารักขึ้นอีก") ซึ่งหมายถึงความสูงส่ง ความศิวิไลซ์ ความมีเกียรติและคุณธรรม

    อย่างไรก็ดี ในยุโรปในต้นศตวรรษที่ 20 "อารยัน" ถูกบิดเบือนไปจนหมายถึง White European" (คนยุโรปผิวขาว ยกเว้นยิวและอาหรับ โดยอ้างว่าเพราะภาษาดั้งเดิมไม่ได้อยู่ในตระกูล Indo-European)

    ต่อมาถูกบิดเบือนยิ่งขึ้นภายใต้ระบอบนาซี ว่า "อารยัน" คือชนชาติพิเศษซึ่งเป็นต้นตระกูลของคนเยอรมันจนต้องคัดสรรสายพันธุ์บริสุทธิ์แห่งความยิ่งใหญ่เอาไว้ เพราะจะยิ่งทำให้เยอรมันนีสามารถครองโลกไว้ได้นานเท่านาน

    ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนบ้าเชื่อเช่นนี้ได้ แต่ความจริงก็คือในยุคล่าอาณานิคมของสมัยนั้น ความเชื่อในเรื่องความเหนือกว่าของคนผิวขาวเป็นเรื่องธรรมดา ไอเดียในเรื่อง "อารยัน" จึงเกิดขึ้นและมีส่วนนำไปสู่การฆ่าฟันชาวยิวนับล้านคนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

     คนบ้าเพียงคนเดียวพร้อมสมัครพรรคพวกจำนวนหนึ่งที่เชื่อและงมงายในเรื่องเดียวกัน สามารถสร้างความทุกข์และความหายนะให้แก่โลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ


วีรกร ตรีเศศ

<< หน้าแรก < ย้อนกลับ 1 2 3 4 5 6 7 8 หน้าถัดไป > หน้าสุดท้าย >>

ผลลัพธ์ 46 - 54 จาก 68
Copyright © 2006 by Suankularb Wittayalai School Library, All right reserved.
เว็บไซต์นี้ควรชมด้วยโปรแกรม Internet Explorer 5.5 ขึ้นไป และชมด้วยหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาด 1024x768 มากที่สุด
อาคารศาลาพระเสด็จ 88 ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทร. 02-222-6701, 02-222-4196 ต่อ 401
Top!